กินอาหารเป็นยา และ กินยาเป็นอาหาร คงเป็นคำกล่าว ที่สามารถใช้ได้เป็นอย่างดี ในสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากมีรายงานสรุปความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคกับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร การออกกำลังกาย รวมถึงมลภาวะ นอกจากอาหารจะให้คุณค่าทางโภชนาการตามความต้องการของร่างกายในชีวิตประจำวันแล้ว
อาหารยังมีสารสำคัญที่มีคุณสมบัติในการป้องกันและช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง ไขมันในหลอดเลือด เบาหวาน เป็นต้น จึงได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารในรูปแบบใหม่ขึ้น เรียกว่า Nutraceutical (โภชนเภสัชภัณฑ์)
แล้วบริโภคอย่างไร เรียกว่า บริโภคอย่างฉลาด ในปัจจุบันผู้บริโภคได้ใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองมากขึ้น เพื่อหวังผลให้ตนเอง มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค
การรับประทานอาหารโดยปฏิบัติตามโภชนบัญญัติ 9 ประการ ดังนี้
1.กินอาหารครบ 5 หมู่ โดยบริโภคอาหารชนิดต่างๆ ให้ได้วันละ 15-25 ชนิด เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดที่ให้สารอาหารครบทุกชนิด ในปริมาณที่พอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย
2.กินข้าวเป็นอาหารหลัก ควรเป็นข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ทั้งนี้ข้าวที่ผ่านการขัดสีน้อยจะมีวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหาร
3.กินพืชผักให้มากและกินผลไม้ทั้งสีเขียว เหลือง ส้ม แดง ม่วง เป็นประจำ และตามฤดูกาล เพราะนอกจากร่างกายได้รับวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารแล้ว ผักผลไม้ยังมีสารออกฤทธิ์ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นและสารอื่นๆ ที่มีฤทธิ์ป้องกันการเกิดโรค หรือลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
4.กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ
5.ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย นมเป็นแหล่งแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง
6.กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร ควรบริโภคไขมันจากพืชและเป็นกรมไขมันชนิดไม่อิ่มตัว
7.หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานและเค็มจัด เพราะอาจเป็นสาเหตุของโรค เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และยังส่งเสริมกลไกในร่างกายให้มีการสร้างไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งจะมีผลต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด
8.กินอาหารสะอาด ปราศจากการปนเปื้อนจากเชื้อโรคและสารพิษ
9.งดและลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้การทำงานของสมองและระบบประสาทช้าลง สมรรถภาพการทำงานลดลง ขาดสติ ตลอดจนเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับแข็ง แผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ โรคมะเร็ง
นอกจากโภชนบัญญัติ 9 ประการแล้ว การเลือกอาหารและวิธีการรับประทานอาหารก็สำคัญเช่นกัน วิธีการรับประทานผลไม้ ควรรับประทานเป็นประจำ เนื่องจากสีสันของผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นเขียว ส้ม แดง เหลือง ม่วง (Secondary Metabolites) ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทำหน้าที่ในการยับยั้งอนุมูลอิสระ และเสริมประสิทธิภาพของเอนไซม์ที่มีหน้าที่ในการทำลายสารพิษ ปรับเปลี่ยนการทำงานของฮอร์โมนบางชนิด ปรับเปลี่ยนสภาวะในระบบทางเดินอาหาร
การรับประทานส้ม ไม่ควรเอาเส้นใยสีขาวออก เนื่องจากมีสารช่วยป้องกันสารภูมิแพ้ ช่วยบำรุงเยื่อหุ้มปอด การรับประทานทับทิม หรือองุ่น ควรรับประทานโดยเคี้ยวเมล็ด เนื่องจากในเมล็ด มีสารโอลิโกเมอริคโปรแอนโทไซนานิดีน (Oligomeric proanthocyanidin, OPC)
ดังนั้นควรศึกษารายละเอียดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้ปลอดภัย ปลอดโรค ทั้งนี้ผู้บริโภคสามารถประเมินผลการปฏิบัติในแต่ละข้อโดยการติดตามน้ำหนัก ส่วนสูง ดัชนีมวลกาย ระดับน้ำตาล ความดันโลหิตสูงไขมันในเลือดเป็นระยะ
ที่มา : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
ตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือ และอุปกรณ์การแพทย์